อะโวคาโด เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและไขมันดีที่จำเป็นแก่ร่างกาย สามารถทานได้ทุกวัย มีหลากหลายสายพันธุ์แต่สายพันธุ์ยอดนิยมคือ อะโวคาโดพันธุ์แฮส (Hass Avocado) ที่มีขนาดผลกำลังดี ลักษณะรูปทรงเหมือนลูกแพร มีผิวขรุขระ เมื่อสุกแล้วจะมีผิวเป็นสีดำเข้ม มีรสชาติดีและความมัน (ครีมมี่) มากกว่าสายพันธุ์อื่น และในการรับประทานบางเมนูก็จะใช้อะโวคาโดที่สุกกำลังดี เนื้อยังมีความแน่น แต่บางเมนูก็ต้องใช้อะโวคาโดที่สุกเนื้อนิ่ม แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกไหนพร้อมรับประทานมีวิธีสังเกตง่ายๆ
วิธีการเลือกอะโวคาโดให้ได้ความสุกที่กำลังดีและตรงตามความต้องการ สามารถสังเกตได้ตามนี้
- สุกเนื้อแน่นเฟิร์ม เมื่อเริ่มสุกจะมีสีน้ำตาลเข้มขึ้นเล็กน้อย เนื้อสัมผัสที่เปลือกของอะโวคาโดจะนุ่มลง
- สุกเนื้อนิ่ม ผิวของอะโวคาโดจะมีสีน้ำตาล เนื้อสัมผัสที่เปลือกจะนุ่มทั่วกัน ระดับความสุกนี้ต้องควรรีบรับประทาน หากปล่อยให้สุกงอกจนหัวผลด้านบนเหี่ยว อากาศจะเข้าไป จะส่งผลให้อะโวคาโดเสีย
- สุกงอมเกินไป ผิวที่สีดำเข้มจัด หัวด้านบนเหี่ยว แสดงถึงอาการอะโวคาโดสุกงอมเกินไป เมื่อผ่านทานด้านหัวของผลจะเน่า
วีธีการปอกอะโวคาโด
- นำมีดมาผ่าครึ่งตามแนวยาวของผลอะโวคาโด จะเจอเม็ดตรงกลางผล ให้หมุนมีดวนรอบเม็ดจนครบรอบ
- บิดหมุนอะโวคาโดเล็กน้อย เพื่อให้เนื้อหลุดออกจากเม็ด
- นำเม็ดออก ใช้มีดเฉาะลงไปที่เม็ด บิดเล็กน้อยเพื่อให้เม็ดหลุดออก (หากทานไม่หมดในครั้งเดียวแนะนำให้เก็บด้านนี้ไว้)
- หั่นอะโวคาโดตามต้องการแลใช้ช้อนตักเนื้อออกมา
วิธีการเก็บอะโวคาโด
- อะโวคาโดที่ยังไม่สุก หากต้องการให้สุกเร็ว ให้นำใส่ถุงกระดาษปิดให้สนิทและวางไว้ในอุณหภูมิห้องปกติ (ผลที่เขียวห้ามนำเข้าตู้เย็น เพราะจะเป็นการหยุดความสุก ส่งผลให้อะโวคาโด้ไม่สุกในภายหลังได้)
- อะโวคาโดที่สุกแล้ว หากยังไม่รับประทานทันทีให้ใส่ไว้ในภาชนะปิดมิดชิดนำเก็บไว้ในตู้เย็น จะสามารถเก็บต่อได้อีก 2-3 วัน (ไม่นำอาโวคาโด้แช่ไปทั้งลูก เพราะจะทำให้อากาศเข้าไปที่หัวของอาโวคาโด้ และส่งผลให้เน่าในระยะเวลาต่อมา)
- อะโวคาโดที่ผ่าแล้วทานไม่หมด ใช้มะนาวหรือเลมอนทาที่ผิวอะโวคาโดและแรปให้สนิทหรือใส่ในกล่องที่ปิดสนิทแช่นในตู้เย็น เพื่อไม่ให้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล